วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2558

วิธีการขึ้นเครื่องบินภายในประเทศง่ายๆ

เมื่อมีเวลาว่างจากการทำงานที่สนเหนื่อยล้า เราก็อยากเดินทางไปพักผ่อนในที่ไกลๆ สงบๆ จริงไหม แต่ในบางทีถ้าจะให้นั่งรถไปก็เกรงว่าจะเป็นการทรมารตัวเองมากกว่า เช่น ถ้าอยากไปเที่ยวกรุงเทพ ตัวเรานั้นอยู่สกลนคร หากนั่นรถก็ใช้เวลาประมาณครึ่งวันหรือ 12 ชั่วโมง ลองคิดดูสิคะ เราต้องนั่งในพื้นที่แค่ เก้าอี้ 1 ตัวเป็นเวลา 12 ชั่วโมง แค่คิดก็ปวดเมื่อยตามตัวแล้ว และถ้าเทียบราคาค่าตั๋วกับเครื่องบินแล้ว ก็ไม่ได้ต่างกันมาก ประมาณ 700 บาท : 800-1200 บาท แต่ถ้านั่งเครื่องบินคุณจะไปถึงกรุงเทพในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30นาที เห็นถึงความแตกต่างหรือยังคะ

สำหรับมือใหม่ที่เห็นถึงข้อตกต่างนี้และไม่เคยขึ้นเครื่องบินมาก่อน อาจจะกลัวว่าขึ้นเครื่องไม่ถูก กลัวจะตกเครื่อง ทำอะไรไม่ได้ ไม่เป็นไรคะ วันนี้เราจะมาให้ข้อนะนำการเดินทางโดยเครื่องบินกัน

ก่อนที่จะบอกขั้นตอนต่างๆ เรามาเรียนรู้คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นเครื่องกันก่อน
Itinerary = ใบรายละเอียดการเดินทาง เรามักจะได้ใบนี้หลังจากที่เราซื้อตั๋วเครื่องบินทางอินเตอร์เนต
Air Ticket = ตั๋วเครื่องบิน
E-Ticket = ตั๋วเครื่องบินแบบอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบกระดาษ A4 ทางสายการบินหรือเอเจนซี่จะส่งให้หลังจากการจองเสร็จสมบูรณ์ ตั๋วชนิดนี้ไม่สามารถใช้ขึ้นเครื่องได้เลย ต้องไป check in ที่สนามบินในวันเดินทางเสียก่อน ถึงจะได้ตั๋วจริง
Boarding Pass = บัตรโดยสาร / ใบผ่านขึ้นเครื่อง
Departure Time = เวลาเครื่องออก
Boarding Time = เวลาขึ้นเครื่อง
Departing = เครื่องออกจาก (สนามบิน) / เวลาออก
Arriving = เครื่องถึงที่หมาย (สนามบิน) / เวลาถึง

ข้อห้าม




การเดินทางโดยเครื่องบินมีข้อห้ามหลายอย่าง เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร เราจะพูดถึงกฎทั่วไปของทุกสายการบิน ส่วนกฎของแต่ละสายการบิน เช่นน้ำหนักกระเป๋าถือขึ้นเครื่อง จำนวนสัมภาระติดตัว ฯลฯ ให้ดูได้จากเวบไซต์ของสายการบิน ควรศึกษาก่อนขึ้นเครื่อง

1. ห้ามนำของเหลวถือขึ้นเครื่องเกินชิ้นละ 100 ml (ml, cc, g ให้ถือเป็นค่าเดียวกัน) หากมีความจำเป็นต้องนำของเหลวติดตัวไปด้วยเช่นพวกแชมพู สบู่เหลว ให้ใช้วิธีแบ่งใส่ขวดเล็กๆ หรือถุงใสที่มีปริมาตรไม่เกิน 100 ml โดยวิธีนี้เราสามารถนำของเหลวติดตัวรวมกันแล้วไม่เกิน 1,000 ml ขนาดของของเหลวจะยึดจากฉลากบรรจุภัณฑ์เป็นหลัก เช่น ครีม ที่ฉลากติดไว้ว่า 120 ml ถึงแม้ว่าจะใช้ไปแล้วครึ่งหนึ่งก็ไม่สามารถนำติดตัวไปได้ เพราะปริมาตรที่ฉลากระบุไว้เกิน 100 ml ของเหลวที่มีปริมาณเกินที่ระบุไว้จะต้องถูกทิ้งขยะ แต่ในกรณีของเหลวโหลดเป็นสัมภาระใต้ท้องเครื่องจะไม่จำกัดปริมาณ

2. ห้ามนำของมีคม วัตถุไวไฟ อาวุธ ถือขึ้นเครื่อง เช่นกรรไกร มีด คัทเตอร์ ดอกไม้ไฟ ถ้าเจ้าหน้าที่ตรวจเจอจะต้องถูกทิ้งขยะ

3. น้ำหนักกระเป๋า – สัมภาระขึ้นเครื่อง สายการบิน Air asia ให้นำกระเป๋าถือขึ้นเครื่องได้ 1 ใบ น้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม ขนาดไม่เกิน 56×36x23 cm สำหรับกระเป๋าถือของผู้หญิงหรือกระเป๋ากล้องสามารถนำติดตัวไปได้โดยไม่นับว่าเป็นสัมภาระ, สายการบิน Nok Air (Nok Economy) ให้โหลดกระเป๋าได้คนละ 15 กิโลกรัม

ขั้นตอนการขึ้นเครื่องบิน
หลังจากศึกษาข้อห้ามเรื่องของเหลว ของมีคม และข้อห้ามของสายการบินไปแล้ว ทีนี้เรามาดู 9 ขั้นตอนง่ายๆ ในการขึ้นเครื่องกัน



1. เตรียมตัว หลังจากที่เราได้จองตั๋วเครื่องบินกับสายการบิน หรือ เอเจนซี่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ให้เราพิมพ์ Itinerary หรือ E-Ticket ติดตัวไปขึ้นเครื่องด้วย ใบ Itinerary หรือ E-Ticket ยังไม่ใช่ตั๋วที่ขึ้นเครื่องได้เลย เราจะต้องผ่านกระบวนการเช็คอิน เพื่อยืนยันว่าเรามาถึงสนามบิน พร้อมขึ้นเครื่องแล้ว สำหรับมือใหม่แนะนำว่าควรไปถึงสนามบินก่อนเครื่องออก 2 ชั่วโมง

     
ซ้าย. Itinerary ของ Air Asia, ขวา. Itinerary ของ Nok Air

2. ตรวจสอบเที่ยวบิน เมื่อถึงสนามบินให้เช็คดูจอมอนิเตอร์ว่าเที่ยวบินที่เรานั่งมีสถานะเป็นยังไง ออกตามเวลาหรือ Delay หรือไม่ เค้าน์เตอร์เช็คอินหมายเลขอะไร
     สำหรับคนที่บินสายการบิน Air Asia ไม่มีสัมภาระโหลด + ทำ Web Check-in มาแล้ว ให้ข้ามไปข้อ 4 เลย



3. เช็คอิน ให้เดินไปที่เคาน์เตอร์ของสายการบินช่องผู้โดยสารในประเทศ เพื่อทำการเช็คอิน – โหลดกระเป๋า (ถ้ามี) โดยจะต้องใช้ Itinerary + บัตรประชาชน เสร็จจากขั้นตอนนี้เราจะได้ใบ Boarding Pass มา ให้ตรวจสอบความถูกต้อง ชื่อ – นามสกุล ที่นั่ง เกต

เค้าน์เตอร์เช็คอิน นกแอร์

Boarding Pass นกแอร์

4. สแกนสัมภาระ เดินตามป้ายผู้โดยสารขาออกภายในประเทศ ส่งบัตรประชนชนพร้อม Boarding Pass ให้เจ้าหน้าที่ตรวจ จากนั้นก็วางกระเป๋าใส่สายพาน x-ray ส่วนของที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง กระเป๋าเสื้อให้หยิบออกมาวางในตระกร้าให้หมด แล้วเดินผ่านประตูตรวจจับโลหะ รับสัมภาระคืน (บางสนามบินจะมีการตรวจ Boarding Pass หลังสแกนสัมภาระ เช่นสนามบินเชียงราย, เชียงใหม่)


ในขั้นตอนสแกนสัมภาระจะเข้าได้เฉพาะคนที่มี Boarding Pass เท่านั้น คนที่มาส่งจะไม่สามารถเข้าไปด้านในได้, น้ำดื่ม จะต้องทานให้หมดก่อนเข้าสแกนสัมภาระ หรือไม่ก็ต้องทิ้งลงถังขยะ



5. รอขึ้นเครื่อง เดินไปรอขึ้นเครื่องตามเกตที่ระบุใน Boarding Pass ในกรณีที่ Boarding Pass ไม่ได้ระบุไว้ก็สามารถดูได้จากจอมอนิเตอร์ได้เช่นกัน เมื่อถึงเกตแล้วให้ดูว่าเที่ยวบินตรงกับใน Boarding Pass เราหรือไม่ ระหว่างรอให้ดูจอประจำเกตอยู่ตลอดเวลาว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ บางครั้งก็มีการเปลี่ยนเกตได้เหมือนกัน

ถ้าไปถึงเกตก่อนเวลาเครื่องออกตั้งแต่ 60 นาทีขึ้นไปจะไปชอปปิ้ง ทานข้าว เดินเล่นก่อนก็ได้ แนะนำว่าให้เข้าห้องน้ำ ทำธุระให้เรียบร้อยก่อนขึ้นเครื่อง

รายละเอียดเที่ยวบิน, Boarding Time, ที่นั่ง, เกต ที่ระบุใน Boarding Pass

ที่นั่งรอขึ้นเครื่อง

6. ขึ้นเครื่อง ก่อนเครื่องออก 30-40 นาที (Boarding Time) จะมีเจ้าหน้าที่เรียกขึ้นเครื่อง โดยจะเรียกผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วใน class แพงขึ้นก่อน เช่น Business class, Hot seat, High Flyer จากนั้นจึงตามด้วยผู้โดยสารที่เหลือ เจ้าหน้าที่จะขอดูบัตรประชาชนพร้อม Boarding Pass และฉีก Boarding Pass ส่วนของสายการบินออก คืนส่วนที่เหลือให้เรา


สิ่งที่แตกต่างระหว่างเครื่องบินกับรถทัวร์คือเวลาขึ้นเครื่อง เครื่องบินจะต้องขึ้นก่อนเครื่องออก 30-40 นาที (Boarding Time) มือใหม่บางคนไม่รู้ไปขึ้นเครื่องตามเวลาเครื่องออกเป๊ะ (Departure Time) ผลสุดท้ายคือตกเครื่องไปตามระเบียบ เวลาที่เครื่องออกจะเป็นเวลาที่เครื่อง Push back ถอยออกจากงวงช้าง เตรียมที่จะ Take Off

7. นั่งตามหมายเลข เมื่อขึ้นไปอยู่บนเครื่องแล้วให้นั่งตามหมายเลขที่ระบุไว้ หมายเลขที่นั่งจะติดอยู่บริเวณที่เก็บสัมภาระ หากหาไม่เจอ หรือมีคนมานั่งที่เรา ให้ขอความช่วยเหลือกับแอร์ฯ หรือ สจ๊วต บนเครื่อง สัมภาระที่นำติดตัวขึ้นเครื่องสามารถเก็บไว้ในช่องด้านบนได้ ส่วนของมีค่าให้เก็บไว้กับตัว

หมายเลขที่นั่งบนเครื่องบิน จากรูป A เป็นที่นั่งริมหน้าต่าง

เมื่อนั่งแล้วให้รัดเข็มขัด อุปกรณ์สื่อสารทุกชนิด โทรศัพท์มือถือ ไอแพด จะต้องปิดเครื่องก่อนที่เครื่องบินจะออก และจะสามารถเปิดใช้งานใน Flight mode ได้หลังจากที่เครื่องรักษาระดับได้แล้ว จะมีไฟสัญญาณบอก

ก่อนที่เครื่องจะ Take Off จะมีลูกเรือมาสาธิตความปลอดภัย เช่นหน้ากากออกซิเจน เสื้อชูชีพ ประตูทางออกฉุกเฉิน



8. เดินทาง ผู้โดยสารจะต้องรัดเข็มขัดในเวลาที่เครื่องขึ้น และ ลง แต่เพื่อความปลอดภัยจะแนะนำให้รัดเข็มขัดไว้ตลอดเวลา สำหรับคนที่ไม่เคยขึ้นเครื่อง เวลาเครื่อง Take Off หรือ Landing มักจะมีอาการหูอื้อ แนะนำให้เคี้ยวหมากฝรั่งหรือกลืนน้ำลายบ่อยๆ จะช่วยได้ ถ้ารู้สึกอยากจะอาเจียนให้หยิบถุงอ้วกที่ช่องใส่หนังสือมาใช้ได้ ลักษณะจะเป็นถุงกระดาษสีขาว


บนเครื่องบินมีห้องน้ำแต่จะใช้ได้ช่วงที่เครื่องบินรักษาระดับได้แล้ว ช่วงบินขึ้น (Take Off) และลง (Landing) ไม่สามารถใช้ห้องน้ำได้ ให้สังเกตดูได้จากไฟสถานะห้องน้ำบนเครื่อง ถ้าไฟเขียวแสดงว่าใช้งานได้


9. ถึงที่หมาย เมื่อถึงที่หมายให้ไปรอรับกระเป๋าที่สายพาน (ถ้ามี) ตามที่หน้าจอระบุไว้ในสนามบินปลายทาง แล้วก็เดินออกจากสนามบินได้เลย เป็นอันจบภารกิจ


เก้าขั้นตอนง่ายๆ นี้เราคิดว่าจะทำให้มือใหม่ได้รู้ขั้นตอนการขึ้นเครื่อง ไม่ต้องกลัวตกเครื่อง การขึ้นเครื่องบินนั้นขั้นตอนอาจจะเยอะกว่าการขึ้นรถทัวร์นิดหน่อย เพราะมีขั้นตอนความปลอดภัยที่เข้มงวดกว่า แต่ก็ไม่ได้ยุ่งยากมากมาย

เมื่อเรารู้ขั้นตอนแบบนี้แล้ว การเดินทางไปพักผ่อนก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

ที่มา : http://www.emagtravel.com/archive/domestic-boarding.html

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

The Terminal ด้วยรักและมิตรภาพ ภาพยนตร์ที่จะทำให้คุณได้รู้ว่า รอ..แล้วได้อะไร



เมื่อหลายเดือนที่แล้วอาจารย์ได้สั่งงานให้ไปดูหนังเรื่องหนึ่ง แล้วให้บอกว่า รอ...แล้วได้อะไร อาจารย์บอกว่าหนังเรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนที่ได้ดู ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ก็แค่งานที่อาจารย์สั่ง ทำให้มันเสร็จแล้วส่งไปก็น่าจะพอ แต่เมื่อได้เปิดดูจริงๆ กลับไม่สามารถสนใจอะไรอย่างอื่นได้เลย ปกติเป็คคนที่ดูหนังหรือละครชอบตัดฉากเศร้าหรือฉากที่ไม่ชอบดู หนังหนึ่งชั่วโมงกว่าบางทีดูจบได้ภายใน 40 นาที


แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ ทั้งที่มีตัวละครเพียงไม่กี่ตัว แถมตัวละครที่เด่นที่สุดก็คือตัวพระเอกด้วยซ้ำ ภาพยนตร์เรื่องนั้นคือเรื่อง THE TERMINAL ด้วยรักและมิตรภาพ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ทุนต่ำ แต่มีเนื้อหากินใจ อีกทั้งได้นักแสดงมืออาชีพมาร่วมแสดงนำโดย 2 ดาราดีกรีรางวัลออสก้า ทอม แฮงค์ ในบทของ วิกเตอร์ นาวอร์สกี้ชาวคาโครเชียที่เดินทางมายังนิวยอร์กซิตี้แต่กลับติดอยู่ที่สนามบินออกไปไหนไม่ได้นานถึง 9 เดือนและแคเธอรีน ซีต้า-โจนส์ ในบทพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสาวแสนสวยนามว่า เอมิเลีย


The terminal นั้นได้เล่าเรื่องราวของคนๆ หนึ่งที่ติดอยุ่ที่สถามบินเพราะพาสปอร์ตถูกยกเลิกเนื่องจากเกิดปัญหาภายในประเทศของเขา จะออกจากสนามบินเข้าประเทศสหรัฐก็ไม่ได้และเขาไม่สามารถกลับบ้านเกิดของเขาได้หากไม่ได้ไปทำบางสิ่งที่ทำให้เขาต้องบินมาถึงสหรัฐอเมริกา เขาต้องใช้ชีวิตนานนับเดือนเพื่อรอคอย วันที่เขาจะได้ทำในสิ่งที่เขาตั้งใจไว้แต่มันไม่รวดเร็วอย่างที่คิด เขารอ.... จากวันกลัายเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์กลายเป็นเดือน จากหนึ่งเดือนกลายเป็นหลายเดือน เขาพูภาษาอังกฤษได้ไม่ดีนัก แต่เขาก็ใช้เวลาที่รอเรียนรู้ภาษาจาโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เขาต้องอาศัยอยู่ในเกทร้าง ใช้เก้าอี้มาเป็นเตียง กาเงินในสนามบินทั้งเก็บรถเข็ญ ทำงานก่อสร้างในสนามินเพื่อให้เขามีเงินพอประทังชีวิตรอวันที่จะได้ออกไปจากสนามบินนี้ หลายเดือนที่เขารอมีเรื่องมากมายเกิดขึ้นทั้งการกดดันจากตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่ต้องการกำจัดภาระโดยให้เขากลับประเทศคาโครเชียที่สงบจากปัญหาภายในประเทศ การไม่มีเงิน แต่เขาก็อดทนต่อสู้จนกระทั้งได้ออกมาทำธุระที่เขาต้องการ นั่นคือการทำความปรารถนาของพ่อผู้ล่วงลับให้เป็นจริง การอดทนของเขานั้นไม่ใช่แค่ได้ทำธุระที่เขาตั้งใจไว้แต่เขายังได้พบเพื่อน มีความรัก มีมิตรภาพมากมาย


 เรื่องนี้ใช่ว่าจะเศร้าเสียทีเดียว แต่ยังมีความตลกด้วยบุคลิกของนาวอร์สกี้ที่แแสดงโดยทอม แฮงค์หรือจะเป็นก๊วนเพื่อนใหม่ที่สร้างสีสันให้เรื่องนี้ไม่ดูทึมจนเกินไป ทำให้น่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ

   



จากหนังเรื่องนี้ทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่าบางทีการอดทนรออะไรบางอย่างก็ไม่ได้แย่เสมอไป นอกจากจะบรรลุเป้าหมายที่เรารอแล้ว บางทีก็ยังได้รับมิตรภาพดีๆ เพื่อนดีหรืออาจจะเป็นความรักดีๆก็เป็นได้และที่สำคัญในระหว่างการรอเราก็ไม่ควรปล่อยเวลาให้ผ่านไปเฉยๆ อย่างไร้ค่า แต่ควรทำสิ่งที่สามารถทำได้ไปก่อน เพื่อที่เวลาทุกวินาทีที่เรารอจะได้มีคุณค่า


ตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง The Terminal

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

10 สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนเดินทางท่องเที่ยว

ในยุคสมันที่คนเรารีบเร่งกับชีวิต ทั้งการทำงาน การเดินทาง การกิน การนอน ฯ การให้เวลาพักผ่อนกับตัวเองนั้นยากมาก เมื่อได้เวลานั้นมาแล้วก็คงไม่อยากนั่งจับเจ่าอยู่ที่บ้านเฉยๆ หรอกจริงไหม เพราะการพักผ่อนไม่ใช่แค่การนอนหลับ แต่เป็นการอยู่ในที่ที่สงบ สวยงาม  เราคงไม่อยากให้เวลาพักผ่อนที่มีค่านี้ตัดขัด ไม่เป็นไปอย่างที่เราหวังไว้หรอกจริงไหมคะ ดังนั้นเวลาที่เราจะไปเที่ยวที่ไหนสักแห่ง เราก็ควรเตรียมตัวให้พร้อม นี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ก่อนที่เราจะเดินทางไปหาความสุขในสถานที่ท่องเที่ยวที่เราหมายตาเอาไว้ เรามาดูกันเลยค่ะว่ามีอะไรบ้างที่เราควรเตรียมก่อนการเดินทางเพื่อให้ทริปการท่องเที่ยวของเราเป็นทริปที่ราบรื่นสนุกกับวันพักผ่อนได้เต็มที่
1. เตรียมเรื่องที่พัก
ที่พักนับว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับการเดินทางท่องเที่ยว คงไม่มีใครอยากไปเที่ยวแล้วต้องนอนใต้ต้นไม้ ศาลารอรถริมทางหรือนอนวัด (ยกเว้นผู้ที่ชอบการผจญภัยแบบ backpack ไปเรื่อยๆค่ำไหนนอนนั่น) ดังนั้นควรติดต่อประสานงานเรื่องการจองที่พักเอาไว้ให้แน่นอน จะรีสอร์ท โรงแรม บ้านพัก โฮมสเตย์ ก็ตามสะดวก

2. เตรียมแผนการเดินทาง
สำคัญไม่น้อยนะคะ สำหรับแผนการเดินทาง เราจะไปถึงสถานที่ที่เราต้องการจะไปได้อย่างไร ถ้าต้องไปด้วยเครื่องบิน รถไฟ หรือรถทัวร์ ก็ควรจัดการเรื่องจองตั๋วให้เรียบร้อย แต่ถ้าเดินทางไปจังหวัดใกล้ๆที่มีรถวิ่งทั้งวัน ก็สามารถไปซื้อตั๋วก่อนเดินทางได้ แต่ถ้าใครชอบ backpack แนวโบกรถ ถึงเมื่อไหร่ก็ช่าง เอามันส์เข้าว่าก็ตามสะดวกเลยค่ะแต่อย่าลืมแผนที่ด้วยนะคะ
**สำหรับผู้จะเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ต้องเตรียมเพิ่มในเรื่องหนังสือเดินทาง วีซ่า และศึกษาเรื่องกฏระเบียบต่างๆของประเทศนั้นๆให้ดี คงไม่มีใครอยากไปเที่ยวที่สถานนี้ตำรวจ กงศุลกากร อะไรแบบนี้หรอกจริงไหมคะ


3. เตรียมรถให้พร้อม
ในกรณต้องการขับรถไปเอง ก็ควรเตรียมรถให้พร้อมมากที่สุด ควรนำรถเข้าตรวจสภาพให้เรียบร้อย จัดการเรื่องน้ำมันและสารหล่อลื่นต่างๆให้พร้อม ถ้าต้องเดินทางเข้าป่าก็ควรมีน้ำมันและยางรถสำรองไว้ด้วย

4. เตรียมร่างกายตนเองให้พร้อม
แน่นอนว่าถ้าทุกอย่างพร้อม แต่เจ้าตัวดันตื่นสายจนไปไม่ทันเวลาตามตั๋วที่จองไว้ ทุกอย่างก็จบ ดังนั้นคืนก่อนเดินทางควรนอนแต่หัวค่ำ ตื่นเช้าๆมาเช็คความพร้อมอีกครั้ง ทำกิจวัตรต่างๆให้เรียบร้อย เช่น เข้าห้องน้ำ หรือกินกาแฟ เมื่อพร้อมจึงเริ่มออกเดินทาง สำหรับผู้ที่ต้องขับรถเองด้วยระยะทางไกลๆหรือหนทางทุรกันดาน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้านอนไว ้เพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกายสำหรับงานหนักในวันรุ่งขึ้น

5. เตรียมของใช้ส่วนตัวให้พร้อม
สำหรับผู้ที่เดินทางบ่อยๆ ของใช้ส่วนตัวนั้นควรเตรียมเอาไว้เป็นชุด แยกใส่กระเป๋าเล็กๆต่างหาก เช่น แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ ยาสระผม มีดโกนหนวด ครีมประเทืองผิวต่างๆ ส่วนเสื้อผ้า รองเท้า ไฟฉายและอื่นๆ สามารถใส่ในกระเป๋าเดินทางหลักได้ บางคนชอบคิดว่าของพวกนี้ไปซื้อเอาข้างหน้าก็ได้ แต่รู้หรือไม่ว่าแหล่งท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะขายของพวกนี้แพงมาก โดยเฉพาะพวกที่เที่ยวที่เป็นเกาะ ที่ท่องเที่ยวเล็กๆหลายที่หาซื้อไม่ได้ ต้องนั่งอมขี้ฟันกันตั้งแต่วันไปถึงยันวันกลับ ไม่สนุกหรอกค่ะ ทั้งทริปไม่กล้าพูดกับใครเลย 5555+

6. เตรียมกระเป๋าเดินทาง
ควรเตรียมกระเป๋าเดินทางให้เหมาะสมกับปริมาณของที่ต้องเตรียมไป และควรเหมาะสมกับพาหนะที่ใช้ด้วย ถ้าขับรถไปเองก็ไม่มีใครว่าถ้าจะขนของไปหมดบ้าน ^ ^ แต่ถ้าเดินทางโดยเครื่องบินหรือรถโดยสาร ควรเลือกขนาดกระเป๋าให้เหมาะสม น้ำหนักกระเป๋าไม่เกินที่กำหนด ไม่ใช่ว่าจัดกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สุดในชีวิต เพื่อขึ้นรถตู้เดินทางไปเที่ยวจังหวัดเพชรบุรี แบบนี้คนขับรถตู้อาจมีค้อน เพื่อนๆผู้โดยสารเคือง ท่านเองก็ต้องนั่งเบียดกับกระเป๋าของท่านเองจนตัวบิดไปตลอดทางแน่ๆ


7. เตรียมยาประจำตัว
ยาประจำตัวถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งในการเดินทางท่องเที่ยว ห้ามคิดเด็ดขาดว่าเดี๋ยวไปหาซื้อเอาข้างหน้าก็ได้ ต้องเตรียมไว้ให้พร้อมก่อนเดินทาง และต้องเป็นสิ่งแรกๆที่ต้องเช็คก่อนออกเดินทางทุกครั้ง เพราะบางที่ก็หาซื้อไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าไปในป่า เพราะคงไม่มี 7-11 ให้เลือกซื้อของเหล่านี้หรอกนะคะ


8. เตรียมเงิน
โอ้ว สำคัญมากๆเลยนะเงินเนี่ย ถ้าไม่มีเงินการเดินทางคงลำบากมาก ยกเว้นท่านจะใช้วิธีโบกรถ นอนศาลา กินข้าววัด (แบบนั้นนอนอยู่บ้านดีกว่ามั๊ยอะ 555+) ควรเตรียมเงินสดให้เพียงพอต่อการเดินทาง ยกเว้นว่าปลายทางของเราเป็นเมืองใหญ่ มีธนาคาร มีตู้ ATM หรือ รับบัตรเครดิตแน่นอน แบบนี้เราเตรียมไปแค่พอติดกระเป๋าเพื่อซื้อน้ำซื้อขนมก็คงได้ แต่ถ้าไม่ใช่ เราต้องคำนวณให้ดีว่าเราต้องใช้เงินเท่าไหร่และควรเตรียมไว้ให้พอ เรื่องสำคัญที่สุดในการพกเงินเดินทางไกลคือ การแยกเก็บเงินหลายจุด เช่น แยกเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์บางส่วน ไม่ต้องมาก แยกเก็บไว้ในกระเป๋าใหญ่ แยกเก็บในกระเป๋าเล็กๆสำหรับของใช้ส่วนตัว แยกเป็นเงินสดเก็บในกระเป๋ากางเกงหรือกระเป๋าเสื้อ เป็นต้น อย่างน้อยต้องมั่นใจว่าถ้ากระเป๋าใบใดใบหนึ่งสูญหาย เราจะยังมีเงินเหลือพอสำหรับท่องเที่ยวหรือสำหรับเดินทางกลับมานอนระทมที่บ้าน

9. เคลียร์งานหรือธุระต่างๆก่อนเดินทาง
การท่องเที่ยวคงไม่สนุกเลยถ้าต้องเดินทาง ท่องเที่ยวไป รับโทรศัพท์ไป มีงานเข้ามาตลอดเวลา สมาธิของท่านจะสูญเสียไปทั้งหมดกับงานที่เข้ามา จนไม่สามารถตักตวงความสุขความสดชื่นของสถานที่ท่องเที่ยวที่ท่านเดินทางไปได้เลย ดังนั้นควรเคลียร์งานต่างๆให้เรียบร้อยก่อนเดินทางเสมอ จะใช้วิธีปิดโทรศัพท์เลยก็ได้ แต่ต้องมีช่องทางหรือเบอร์ใหม่สำหรับให้คนในครอบครัวหรือคนที่เราสนิทจะสามารถติดต่อได้ …. ยกเว้นเจ้านาย ห้ามให้เบอร์นี้เด็ดขาด 5555+

10. เตรียมของกิน
จำเป็นด้วยเหรอของกินเนี่ย ไปหาเอาข้างหน้าก็ได้มั๊ง… สำหรับการไปเที่ยวเมืองใหญ่ๆคงไม่จำเป็นมากนัก แต่ถ้าท่านไปเที่ยวภูเขา น้ำตก หรือสถานที่ไกลๆ ท่านอาจจะไม่สามารถหาร้าน 7-11 ร้านป้าเมี้ยนลุงมาได้ ดังนั้นควรเตรียมของขบเคี้ยว ขนมต่างๆ หรือแม้แต่พวกน้ำพริกกระปุกไปด้วย สำหรับผู้ที่ไปแคมป์ปิ้งยิ่งจำเป็นมาก ควรเตรียมอาหารสด อาหารแห้ง น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสปรุงรส หอม กระเทียม เตาแก๊สปิกนิก ถ้วยชามลามไหไปให้ครบ ไม่เช่นนั้นคงต้องหุงข้าวด้วยกระบอกไม้ไผ่และเอาข้าวใส่ใบตองกินแน่ๆ ^ ^
 
เห็นไหมคะว่าการเตรียมตัวก่อนออกเดินทางท่องเที่ยวสำคัญแค่ไหน จริงๆ ทุกการเดินทางเราควรเตรียมพร้อมทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการไปเที่ยว สมนางาน ประชุมต่างจังหวัด เป็นต้น  เพื่อให้การเดินทางนั้นไปถึงยังจุดหมาย และไม่เสียเวลาอีกด้วย โดยเฉพาพการเตรียมตัวไปเที่ยว หากไม่เตรียมตัวให้ดี การไปเที่ยวทริปนั้นอาจจะไม่ใช่การพักผ่อนอย่างที่หวังไว้

ที่มา: http://www.xn--12cg1cxchd0a2gzc1c5d5a.net/สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนเดินทางท่องเที่ยว/